
PROLOGUE
CHIONI
Morning
ในช่วงก่อนยุคกลาง ณ หมู่บ้านชนบทอันห่างไกล มีเด็กสาวคนหนึ่งได้กำเนิดขึ้น ผิวขาวซีดราวหิมะ เส้นผมสีบลอนด์สว่าง นัยน์ตามรกต เธอเติบโตมาโดยที่ไม่รู้ว่าผู้เป็นแม่ของตนคือใคร มีเพียงคำบอกเล่าจากปากของผู้เป็นพ่อเพียงเท่านั้น แม้ทั้งสองจะอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น รักใคร่ แต่ไม่ใช่กับคนภายนอก ข่าวลือของเธอต่างกระจายไปทั่วหมู่บ้านตั้งแต่วันที่เธอได้เกิดมาว่าเธอคือ“เด็กต้องสาป” ด้วยข่าวลือนั้นทำให้พฤติกรรมของเด็กในหมู่บ้านที่มีต่อเด็กสาวเป็นไปในทางที่ไม่ดีนัก อีกสาเหตุที่ก่อให้เกิดข่าวลือก็คือในวันที่เธอเกิดนั้นมีพายุฝนลูกใหญ่จนไร่นาเสียหายมากมาย สัตว์เลี้ยงล้มตายเป็นจำนวนมาก ไม่มีใครกล้าเข้าหา พูดคุย หรือติดต่อค้าขายกับครอบครัวนี้ มีเพียงแค่ความสงสารจากบางคนก็เท่านั้น แต่สองพ่อลูกก็ไม่สามารถย้ายไปไหนได้ด้วยความขัดสนด้านการเงินที่พอกินพอใช้ไปวันๆ
วันหนึ่งช่วงกลางฤดูหนาวเข้าสู่ปีที่8ในช่วงชีวิตของเด็กสาว พายุหิมะลูกใหญ่ได้พัดเข้ามายังหมู่บ้านที่เด็กสาวอาศัยอยู่ ซึ่งมีความรุนแรงและยาวนานมากที่สุดในรอบหลายร้อยปี หิมะปกคลุมไปทั่วจนเห็นแต่เพียงสีขาวโพลนของเกล็ดหิมะที่ไม่อาจนับได้ ท้ายที่สุดความกลัวที่กดทับความรู้สึกของชาวบ้านมาอย่างยาวนานก็ได้ระเบิดออก มนุษย์เมื่อเกิดความกลัวมากเข้ามักจะมีการกระทำอยู่เพียงไม่กี่อย่าง ระหว่าง หนี หรือหาสาเหตุแล้วแก้ปัญหา ในกรณีนี้ชาวบ้านเลือกที่จะแก้ปัญหา และการแก้ปัญหานั้นคือ“การกำจัด”ต้นตอของปัญหาเสีย
กลางดึกเงียบสงัดในค่ำคืนหนึ่งอันซึ่งเป็นเวลาพักผ่อน กลับมีแสงสลัวกลุ่มใหญ่ขยับเข้ามาใกล้บ้านของเด็กสาว เปลือกตาบางค่อยๆลืมขึ้นอย่างสลึมสลือจากแสงที่แยงตาและเสียงโหวกเหวกจากภายนอก ยังไม่ทันได้ตื่นอย่างเต็มตา ผู้เป็นพ่อก็คว้าตัวเธอจนลอยขึ้น มือข้างที่เหลือสามารถหยิบมาได้เพียงโค้ทตัวหนาเท่านั้น เขาเหวี่ยงเสื้อมาคลุมเด็กสาวเอาไว้ระหว่างที่สองขาก้าวพุ่งออกไปทางหลังบ้านอย่างเร่งรีบ ตรงขึ้นไปยังป่าบนภูเขา
เธอกำแขนเสื้อบิดาเอาไว้แน่นอย่างตื่นตระหนก ในมุมสายตามรกตนั้นนอกจากรอยเท้าบนหิมะขาวโพลนที่เป็นของผู้เป็นพ่อแล้ว เมื่อเงยขึ้นก็พบกับแสงโชติช่วงจากเพลิง...ที่กำลังลุกไหม้บ้านอันอบอุ่นของเธออยู่
เพียงครู่เดียว โค้ทที่ถูกใช้เพื่อกันความหนาวด้านนอกให้กับเด็กสาวอยู่ก็ถูกดึงขึ้นมาคลุมใบหน้าขาวซีดเอาไว้ด้วยมือหนาของผู้ที่อุ้มเธออยู่ เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และร่างเล็กในอ้อมแขนเขาไม่สมควรได้เห็นมัน
ขายาวยังคงก้าวต่อไปอย่างไร้จุดหมาย แสงไฟที่ไล่หลังเริ่มห่างขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่สถานการณ์ดูจะไว้วางใจได้แล้วสำหรับสองพ่อลูก ธนูไม้ดอกหนึ่งก็ปักเข้าที่แขนขวาของผู้เป็นพ่อพร้อมกับเสียงตะโกนไล่หลังที่จับความไม่ได้ และลูกธนูตามมาประปราย
ขายาวชะงักกึกเพียงเสี้ยววิก็เร่งฝีเท้าขึ้นแม้อากาศจะหนาวจัดจากพายุที่เพิ่งผ่านไป
...จะไม่ทันแล้ว ...คนเหล่านั้นตามมาแล้ว
‘ไม่เป็นไรนะ’
เสียงทุ้มพูดพร่ำประโยคเดิมซ้ำๆราวกับแผ่นเสียงที่เล่นวนไปมา ต่างกันเพียงแค่จังหวะหายใจและเสียงหอบที่ชัดขึ้นทุกนาที เลือดจากบาดแผลลึกถูกอากาศหนาวช่วยชะลอไว้ แต่ความปวดหนึบนั้นยังคงกัดกินอยู่เป็นเนืองๆพร้อมกับอาการชา ร่างเล็กของลูกสาวเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขายังวิ่งลุยหิมะต่อไปและไม่รู้สึกถึงบาดแผลใดๆ
เมื่อเริ่มออกจากหมู่บ้านมาไกลขึ้นเรื่อยๆ ธนูที่หลบพ้นอย่างหวุดหวิดมาตลอดก็ปักเข้าที่ขายาวจนเสียหลักทรุดลงกับพื้น ฝ่ายบิดาหันกลับไปมองด้านหลัง แสงเล็กๆจากคบเพลิงเริ่มเข้าใกล้ พิษบาดแผลค่อยๆกัดกินอย่างช้าๆ มือข้างที่พอว่างเอื้อมไปถอดบู้ทของตนอย่างรวดเร็วและสวมให้กับเท้าเปือยเปล่าของเด็กสาวที่ถูกหิ้วออกมาทั้งๆที่เพิ่งตื่นนอน มือเย็นเฉียบจากอากาศหนาวยกขึ้นลูบหัวผู้เป็นลูกเบาๆ
‘รีบวิ่งเร็ว เดี๋ยวพ่อตามไป ...ลูกต้องเจอแม่ของลูกซักที่ในป่านั้นแน่นอน’
แม้ร่างเล็กนั้นจะพยายามยื้อไม่ยอมไปไหน แต่สุดท้ายทั้งเสียงที่ไล่หลังมา และคำสั่งอันหนักแน่นของผู้เป็นพ่อก็ทำให้ขาเล็กๆนั้นก้าวห่างออกไปด้วยความจำยอม เธอหันกลับไปมองจนร่างหนาท่ามกลางหิมะจนลับตา บู้ทหลวม กับโค้ทตัวหนาช่วยปกป้องเธอจากอากาศอันหนาวเหน็บ แต่ก็ทำให้การเยื้องย่างเป็นไปอย่างยากลำบากเช่นกัน
หนาวเหลือเกิน...โศกเศร้าเหลือเกิน...สับสนเหลือเกิน...โกรธแค้นเหลือเกิน…
ความรู้สึกมากมายพรั่งพรูอยู่ในความคิด เหตุใดเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งต้องมาเจออะไรแบบนี้จากเรื่องที่เธอไม่ได้กระทำด้วย
ไม่นานนัก สายตาอันพร่ามัวจากความเหนื่อยล้าก็เห็นบางอย่าง แท่นหินเก่าแก่ที่มีประกายแสงลอยอยู่ด้านบน มันให้ความรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจอะไรทั้งนั้น เธอต้องหนี เพียงชั่วพริบตาความพร่ามัวในวิสัยทัศน์...ก็ดับไป ตรงหน้าแท่นหินนั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เด็กสาวค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น ร่างเล็กนั้นสะดุ้งลุกขึ้นมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดระแวง ตอนนี้เช้าแล้ว คนเหล่านั้นไม่อยู่แล้ว ซึ่งนั่นทำให้เธอสบายใจไม่น้อย รอบข้างนั้นยังคงเป็นทิวทัศน์เดียวกับก่อนที่ภาพจะตัดไป ประกายบางอย่างตรงหน้าที่เคยมีอยู่บนแท่นหินได้หายไปแล้ว เธอยันตัวขึ้นแล้วเดินตรงไปตามทางในป่าอย่างหวาดระแวง อย่างน้อยควรหาที่พักให้ได้ก่อนในตอนนี้
ระหว่างลุกขึ้นเดิน ร่างกายที่เคยรู้สึกหนักอึ้งกลับเบาหวิวเกินคาดผิดแปลกจากคนที่เพิ่งวิ่งฝ่าอากาศหนาวมาลิบลับ ความหิวที่ควรมีเองก็หายไปด้วย แม้จะมีความรู้สึกแปลกๆบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็ตาม แต่ในเมื่อไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่ดี เธอจึงปล่อยไปก่อน ...ถือว่าตัดปัญหาไปได้พอสมควร
ขาเรียวพาเธอไปจนถึงลำธารใสกลางป่า นัยน์ตาสีมรกตมองรอบข้างอย่างระแวดระวังด้วยกลัวสัตว์ป่าอันตรายที่มาดื่มน้ำใกล้ๆ เมื่อเช็คจนแน่ใจแล้วจึงค่อยๆย่อตัวลงและ...ในเงาสะท้อน แสงประกายอันคุ้นตาก็ฉายเข้ามา แสงประกายเดียวกับบนแท่นหิน...อยู่บนหัวของเธอ...